วันนี้เราจะมาพูดถึง เกม ที่บอกเลยว่างานภาพของเขานั้นอลังการงานสร้างสุด ๆ ค่ะ นั่นก็คือ Ori and the Blind Forest หากใครกำลังมองหาเกมภาพสวยแถมสนุกสุด ๆ แล้วล่ะก็ ผู้เขียนแนะนำให้มาอ่านรีวิวเกมนี้ก่อนไปโหลดมาเล่นกันได้เลยนะคะ
แต่ก่อนที่เรานั้นจะไปอ่านบทความที่น่าสนใจของเกมนี้ ก่อนอื่นเลยแอดมินเองก็ต้องขอขอบคุณทาง เครดิตฟรี50 ที่ให้การสนับสนุนเราด้วยนะคะ และท้ายที่สุดนี้หากใครกำลังมองหาเกมแนวน่ารักสดใส ขอแนะนำเกม Princess Peach : Showtime ไว้ด้วยนะคะ
Ori and the Blind Forest งานภาพขั้นเทพที่จะทำให้ทุกท่านอินไปกับเกม
หากทุกท่านนั้นอยากจะหาเกมระดับ Tripple A จากค่ายอย่าง ไมโครซอฟต์ สตูดิโอ้ ที่ได้สร้างผลงานอย่างยอดเยี่ยมในช่วงหลัง ๆ ซึ่งหากจะหาเกมอินดี้ดี ๆ ที่ทางไมโครซอฟต์นั้นมาจัดจำหน่ายให้เชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีเกมOri and the Blind Forest อย่างแน่นอนค่ะ
ภาคแรกนั้นได้ออกไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 บนเครื่อง Xbox 1 และได้ปล่อยเวอร์ชัน Definitive Edition ในปี 2016 ได้มีการขยายตลาดไปยังคอนโซลเครื่องอื่น ๆ ซึ่งเราได้หยิบเกมนี้กลับมาเล่นในปี 2024 มาดูกันค่ะว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Metroidvania ที่น่าสนใจอยู่หรือเปล่าค่ะ
ส่วนแรกที่ทำออกมาได้น่าสนใจนั่นก็คือ โลกของโอริ ที่มีทั้งสิงห์สาราสัตว์ที่มีความแปลกประหลาดแต่มีความจำเพาะต่อโลกของโอริอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีวิญญาณ สัตว์ในตำนาน มาอยู่ร่วมกันด้วยความกลมเกลียว แต่ด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างหายนะให้ดินแดนแห่งนี้
และความหวังสุดท้ายของดินแดนแห่งนี้ก็คือ โอริ ที่ต้องออกเดินทางไกลของดินแดนเพื่อฟื้นฟูธาตุต่าง ๆ ที่ล้วนแตกสลาย เรื่องราวหลัก ๆ จะถูกถ่ายทอดผ่านสภาพแวดล้อมของเกมจะมีจังหวะที่คุยและคัทซีนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้ดูกันด้วยนั่นเองค่ะ
ที่รวม ๆ แล้วอาจจะไม่ถึงขั้นเล่าเรื่องได้ยอดเยี่ยมนัก แต่ก็มีฉากสะเทือนอารมณ์ให้เราได้ดูอยู่เช่นเดียวกันค่ะ โลกของ the Blind Forest นั้นจะถูกแบ่งออกเป็นแต่ละพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมนั้นแตกต่างกันออกไป เช่น ป่าไม้ ภูเขาไฟ น้ำ เป็นต้นค่ะ
ทั้งหมดนั้นจะถูกเชื่อมต่อกันผ่านแผนที่ผืนใหญ่ ที่สามารถกลับไปกลับมาได้อีกด้วยนั่นเองค่ะ ระหว่างทางนั้นเราจะได้เครื่องมือใหม่ ๆ มาใช้ทั้งต่อสู้และใช้เดินทางไปด้วยกันนั่นเองค่ะ นอกจากนี้เรายังได้สำรวจแผนที่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับต่อกรกับศัตรูที่เจอกับเราได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีฉากมากมายที่กลมกลืนไปตามฉากอีกด้วยนะคะ เพื่อพิสูจน์ว่าคุณนั้นเป็นคนที่ช่ำในเกมแนว Metroidvania หรือไม่นั่นเองค่ะ แต่การที่จะเอาชีวิตรอดใน the Blind Forest นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนั่นเองค่ะทุกคน นอกจากเรื่องราวหลักที่ใช้เวลาเล่นไปประมาณ 8-10 ชั่วโมงแล้วนั้น
ที่ผู้เขียนนั้นแอบเสียดายว่าอยากจะให้ยาวกว่านี้หน่อยนั้น the Blind Forest นั้นแอบเต็มไปด้วยทางลับที่ซ่อนไว้อยู่มากมายเลยทีเดียวค่ะ ภายในสภาพแวดล้อมที่ละเอียดลออทำให้เรานั้นต้องคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าพื้นที่ที่เรากำลังเยือนอยู่นั้นมีทางลับอยู่หรือไม่
จุดอ่อนของเกมนี้นั่นก็คือ คอมแบท ที่ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากนักโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ของเกมนั่นเองค่ะ แค่กะจังหวะหลบ และโจมตีกลับเพียงเท่านั้นค่ะ แต่หลังจากอัพเกรดความสามารถต่าง ๆ แล้วนั้นการต่อสู้ก็ได้มีการอัพเกรดขึ้นมาบ้างค่ะ
เกมนั้นแทบไม่มีโอกาสให้เราได้เดินชิวมองดูความสวยงามของโลก the Blind Forest กันเลยทีเดียวค่ะ ส่วนที่อาจจะช่วยบรรเทาความหัวร้อนได้บ้างนั้นอาจจะมาจุดเช็คพ้อยท์ของเกมนี้นั่นเองค่ะ ที่นอกเหนือจากเกมจะออโต้เซฟให้ตามจุดที่กำหนดแล้วนั้น
เรายังสามารถสร้างจุดเช็คพ้อยท์ให้ได้ชั่วคราวอีกด้วยเพื่อในบางด่านที่เรารู้สึกว่ามันยากเกินกว่าที่จะผ่านไปได้ก็สามารถที่จะสร้างเช็คพ้อยไว้ได้อีกด้วยนะคะ โดยเงื่อนไขคือห้ามมีศัตรูอยู่ใกล้และต้องเสียเอเนอจี้ไป 1 ช่องนั่นเองค่ะ ซึ่งเอเนอจี้นั้นจำเป็นต่อการใช้ความสามารถอีกด้วยนะคะ
ในด้านของภาพและเสียงนั้นโดยเฉพาะภาคของ Definitive Edition ที่ทำงานภาพและเสียงออกมาได้ดีมาก ๆ ทำให้ผู้เล่นนั้นรู้สึกเหมือนกำลังหลงไปในโลกของ the Blind Forest อย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ ในด้านของเสียงอาจจะไม่ได้มีบทสนทนามากนัก แต่จะเป็นเสียงของธรรมชาติเสียมากกว่า
อาจจะไม่ใช่เกมที่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่นักในยุคนี้แต่ก็เป็นเกมที่สนุก และยังเล่นได้ดีในปี 2024 นี้ค่ะ ซึ่งบอกเลยว่าผู้เขียนนั้นก็ยังอยากจะแนะนำให้ใครก็ตามที่ชอบเกมสไตล์นี้ได้ลองเล่นกันค่ะ เพราะหากใครที่ชอบเล่นเกมผจญภัยภาพสวยแล้วล่ะก็รับรองว่าถูกใจอย่างแน่นอน
และครั้งหน้านั้นเราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักหรืออ่านรีวิวเกมไหนเพิ่มนั้นอย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ และต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามบทความรีวิวเกมของเรากันด้วยน้า รับรองว่าเราจะทำรีวิวเกมดี ๆ มาให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างแน่นอน
❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️